WWW.TRAVEL2GUIDE.COM

อุทยานแห่งชาติแม่เมย 

อยู่ในเขตอำเภอท่าสองยาง มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนสหภาพพม่าโดยมีแม่น้ำเมยเป็นเส้นแบ่งเขตแดน บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีการจัดภูมิทัศน์ และตกแต่งพื้นที่ด้วยไม้ประดับดูสวยงาม บรรยากาศโดยรอบที่ทำการสงบร่มรื่นด้วยป่าเขา และยังมีสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กวาง ละมั่ง เป็นต้น นอกจากนั้นทางอุทยานฯ ได้จัด เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ใช้เวลาเดินประมาณ 6 ชั่วโมง ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางโดยติดต่อล่วงหน้าที่อุทยานฯ เป็นเส้นทางเดินแบบไปเช้า - เย็นกลับ หรือจะพักแรมก็ได้ ระหว่างเส้นทางที่เดินเป็นทางขึ้นเขาบ้าง ลงเขาบ้าง ทางเดินไม่ชันมาก เดินเรียบลำน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำตกเล็กๆ บางครั้งต้องปีนบันไดไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นขนานไปกับน้ำตก ละอองน้ำจากน้ำตกจะกระเด็นเข้ามาปะทะที่ใบหน้าทำให้สดชื่นขึ้น หากมาในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพบดอกไม้ป่านานาชนิดหลากสีสันบานอยู่ริมทางเดิน หรือริมน้ำตก เช่น ดอกกระทือสีแดง ดอกบัวตองสีเหลืองบานเป็นกอชวนสะดุดตาตัดกับผืนป่าสีเขียว บางดอกซ่อนตัวอยู่กับพรมมอสสีเขียวเข้ม


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง

มีพื้นที่ 1,619,280 ไร่ เป็นเขตป่าอนุรักษ์เพื่อการสงวน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผืนป่าตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดของแหล่งมรดกโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาว และเย็นมากในระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ พรรณไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้แก่ เสือลายเมฆ สมเสร็จ เลียงผา เหยี่ยว นกกระทุง ได้รับการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เมื่อ พ.ศ. 2532


น้ำตกทีลอซู

ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมาก ติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก


อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช

พื้นที่ครอบคลุมอยู่ในเขตป่าแม่ท้อ ตำบลแม่ท้อ ตำบลพะวอ อำเภอเมือง และป่าแม่ละเมา อำเภอแม่สอด มีเนื้อที่ 165,250 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2524 ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชัน มีภูเขาสลับซับซ้อน สภาพป่าสมบูรณ์ เป็นอุทยานฯ ที่มีป่าหลายชนิด เช่น ป่าดิบเขา ป่าสนเขา ป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ อุทยานฯ มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซลเซียส ฝนตกชุกในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม ส่วนฤดูหนาวช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม จะมีอุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียส

พื้นที่ป่าแห่งนี้ในอดีตเคยใช้เป็นเส้นทางเดินทัพ ของไทย และพม่า ในปี พ.ศ. 2305 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างยกทัพกลับทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ในป่านี้ 


อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ

มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในตำบลช่องแคบ ตำบลพบพระ ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ และตำบลด่านแม่ละเมา ตำบลพะวอ ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลแม่กุ ตำบลแม่ตาว ตำบลมหาวัน อำเภอแม่สอด     มีพื้นที่ 534,375 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล  1,765 เมตร สภาพทั่วไปส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ และป่าเขาสน ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537


อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ

เป็นอุทยานแห่งชาติเปิดใหม่ ท้องที่บ้านหนองหลวง หมู่ 3 ตำบลสามหมื่น ริมทางหลวงสายแม่ระมาด-บ้านตาก ห่างจากแยกอำเภอแม่ระมาดประมาณ 18 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 380 ตารางกิโลเมตร เดิมชื่ออุทยานแห่งชาติแม่กาษา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ” เพื่อเป็นการยกย่องพะวอซึ่งเป็นท่านทหารชาวกระเหรี่ยงในสมัยสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายด่านแม่ละเมา และได้ต่อสู้กับข้าศึกเพื่อปกป้องเอกราชของชาติจนตัวเองต้องเสียชีวิตในสมา มรบ ซึ่งสมรภูมิรบก็อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติขุนพะวอนี้เอง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนสูงชัน เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยหลายสาย สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์มากมีทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ และป่าต็งรัง สภาพอากาศได้รับอิทธิพลจากลมทะเลอันดามัน ทำให้มีอากาศค่อนข้างชื้นในฤดูฝน ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ฤดูร้อนอากาศเย็นสบายอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 21 องศา ทำให้มีอากาศเย็นสบายทั้งปี มีพันธุ์ไม้หลากหลายเช่น สัก แดง ประดู่ มะค่าโมง ยาง ตะเคียนทอง ไม้ถิ่นภาคใต้เช่น ลูกเนียง (มะตึงยาง) สะตอป่า เงาะป่า ฯลฯ


อำเภออุ้มผาง

อำเภออุ้มผางแต่เดิมที่อุ้มผางมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ ทั้งหมด ต่อมาได้มีคนไทยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น อุ้มผางเดิมเป็นเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันตกขึ้นอยู่กับจังหวัดอุทัยธานี เป็นจุดตรวจหนังสือเดินทางชาวพม่า ที่เข้ามาค้าขายในเขตไทย ในสมัยก่อนชาวพม่าจะนำเอกสารใส่กระบอกไม้ไผ่มีฝาปิดเพื่อป้องกันฝนและการฉีก ขาดระหว่างการเดินทาง เมื่อมาถึงอุ้มผางก็จะเปิดกระบอกไม้ไผ่เก็บเอกสารเพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ใน เขตไทยตรวจประทับตรา เอกสารที่ว่านี้เรียกเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า "อุ้มผะ" ต่อมาได้เพี้ยนเป็น "อุ้มผาง" ซึ่งเป็นชื่อของอำเภออุ้มผางในปัจจุบัน
ปัจจุบัน อุ้มผางเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการท่อง เที่ยวผจญภัย และการได้สัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์ มีกิจกรรมล่องแก่งต้นลำน้ำแม่กลอง เดินป่าชมน้ำตก และหมู่บ้านชาวเขา มีที่พักรีสอร์ทเปิดให้บริการหลายแห่ง 


อุทยานแห่งชาติลานสาง

อยู่ที่บ้านลานสาง ตำบลแม่ท้อ ห่างจากตัวจังหวัดตากประมาณ 20 กิโลเมตร มีพื้นที่ 65,000 ไร่ ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนติดต่อกันเกือบตลอดพื้นที่ ส่วนที่สูงที่สุดอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตก และทิศใต้ และลาดต่ำลงมาทางด้านทิศตะวันออก มีลำธารไหลผ่านหลายสาย เช่น ลำห้วยลานสาง ห้วยท่าเล่ย์ คลองห้วยทราย ห้วยอุมยอม ป่าในเขตอุทยานฯ มีทั้งป่า ดงดิบ ป่าสนเขา ป่าดิบเขา ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ สลับกันไปตามลักษณะภูมิประเทศ สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้แก่ หมูป่า เก้ง เต่าปูลู เลียงผา ชะมด นกปรอดเหลืองหัวจุก เป็นต้นตามตำนานเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้ทรงหยุดพักพลที่บ้านระแหง แขวงเมืองตาก มีชาวมอญเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยเป็นจำนวนมาก ทหารพม่าจึงติดตามเข้ามา สมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรีได้เสด็จยกทัพไปขับไล่ และพลัดหลงกับกองทัพ ประจวบกับเป็นเวลากลางคืน และสภาพพื้นที่เป็นป่าเขารกทึบยากแก่การติดตาม กองทัพไทยจึงหยุดพัก ขณะที่พักกันอยู่นั้นได้เกิดมีแสงสว่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และได้ยินเสียงม้าศึกร้อง จึงรีบพากันไปยังจุดนั้น ก็พบสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีประทับม้าอยู่กลางลานหิน มีแสงสว่างออกมาจากพระวรกาย มีทหารพม่าคุกเข่าหมอบอยู่โดยรอบ และขณะนั้นเป็นเวลาฟ้าสางพอดี จึงเรียกบริเวณนั้นว่า ลานสาง และสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีประทับม้ายังคงมีอยู่ในปัจจุบัน คือ บริเวณน้ำตกลานสาง และที่บริเวณลานหินจะมีรอยเกือกม้าของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่ด้วย


อำเภอแม่สอด

อยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งเป็นอำเภอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2441 เดิมชื่อพระหน่อเก่ ตัวอำเภออยู่ในที่ราบระหว่างภูเขา ส่วนหนึ่งเป็นเทือกเขาในฝั่งประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งเป็นเทือกเขาฝั่งสหภาพพม่า อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ประมาณ 2,600 ตารางกิโลเมตร ประชากรมีทั้งชาวเขา และคนที่อพยพจากอำเภอเมืองเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งชาวพม่าที่มีภรรยา และบุตรเป็นคนไทยด้วยประวัติความเป็นมาของอำเภอแม่สอดนั้นยังไม่ปรากฏแน่ชัด ว่าจะเป็นเมืองฉอดของขุนสามชนที่เคยยกทัพไปตีกรุงสุโขทัยหรือไม่ ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ เมื่อดูตามสภาพบ้านเมืองของอำเภอแม่สอดนั้น ไม่พบว่ามีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่มีอายุอยู่ในยุคของสุโขทัยได้เลย ฉะนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่าไม่ใช่เมืองเดียวกัน ขณะนี้ได้มีนักโบราณคดีพบซากเมืองโบราณอยู่ในป่าทึบ ในท้องที่อำเภอแม่ระมาด อาจจะเป็นเมืองฉอดตามศิลาจารึกกรุงสุโขทัยก็ได้


วัดพระบรมธาตุ

ซึ่งจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปีมะเมีย ในช่วงวันขึ้น 14 และ 15 ค่ำเดือนเก้าของชาวภาคเหนือ ชาวอำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก โดยองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะตะเภา จะจัดงานบุญที่ยิ่งใหญ่ คือประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า ขึ้นเพื่อเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยจัดขบวนแห่ผ้าห่มธาตุ ซึ่งประกอบด้วยขบวนกลองยาว ขบวนต้นเงินต้นทอง ขบวนตุงไชย ธงทิวและเครื่องพุทธบูชา จากบริเวณหนองเล่ม เคลื่อนผ่านสะพานบุญ ซึ่งเป็นสะพานไม้ยาวประมาณ 200 เมตรขึ้นไปทำพิธีห่มพระบรมธาตุ จากนั้นจะเป็นพิธีการบวงสรวงเจดีย์ยุทธหัตถี เจดีย์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างไว้ในคราวทำสงครามยุทธหัตถีชนะขุนสาม ชน เจ้าเมืองฉอดและพิธีชุมนุมเจ้า 108 องค์ จากทั่วทุกสารทิศ

การเดินทาง จากตัวเมืองตากไปตามทางหลวงหมายเลข 1107 ประมาณ 35 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสูทางหลวงหมายเลข 1175 อีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นวัดพระบรมธาตุอยู่ทางซ้ายมือ หรือหากใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ตรงกิโลเมตรที่ 442 เข้าอำเภอบ้านตากผ่านสะพานข้ามแม่น้ำปิ แล้วเลี้ยวขวาผ่านวัดท่านา จนถึงสามแยกแล้วเลี้ยวซ้าย 200 เมตร ถึงวัดพระบรมธาตุอยู่ทางซ้ายมือ


เจดีย์ยุทธหัตถี
เจดีย์ยุทธหัตถี หรือ เจดีย์เฉลิมพระเกียรติพระเจ้ารามคำแหงมหาราช   หรือเจดีย์เฉลิมพระเกียรติพระเจ้ารามคำแหงมหาราช หรือ ชาวบ้านเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เจดีย์ชนช้าง ตั้งอยู่บนดอยช้าง ตำบลเกาะตะเภา ดอยช้างเป็นเนินดินเล็ก ๆ อยู่ทางเหนือของดอยพระธาตุไปเล็กน้อย เจดีย์นี้เป็นโบราณสถาน สร้างในสมัยสุโขทัยมีอายุราว 700 ปีเศษ องค์เจดีย์ยุทธหัตถีอยู่เยื้องกับวัดพระบรมธาตุประมาณ 200 เมตร ลักษณะของเจดีย์ยุทธหัตถีเป็นศิลปะแบบสุโขทัยคล้ายกับองค์อื่นๆ ทั่วไปในเมืองสุโขทัย ก่ออิฐถือปูนฐานกว้าง 12 เมตร เป็นเรือนธาตุรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมขึ้นไป สูง 16 เมตร เหนือเรือนธาตุทำเป็นลำสี่เหลี่ยมย่อมุมตลอดถึงยอดที่เป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ยอดสุดมีฉัตร มีร่องรอยการซ่อมแซมตลอดมา แต่ไม่เสียรูปทรงเดิม ฐานพุ่มมีลายปั้นเป็นรูปหน้าสิงห์สวยงาม หน้าสิงห์ด้านทิศเหนือยังสมบูรณ์ ด้านอื่นๆ ชำรุด องค์เจดีย์ส่วนใหญ่มีคราบตะไคร่น้ำจับอยู่ทั่วไป จะมีการขุดแต่ง และทำความสะอาดรอบบริเวณเจดีย์ในช่วงใกล้วันเทศกาล เป็นงานเดียวกับงานไหว้พระธาตุบ้านตากจากหลักฐานศิลาจารึกหลักที่ 1 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชกล่าวว่า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ได้ยกทัพมาตีกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้ทรงบกทัพมาป้องกันเมืองตาก พ่อขุนรามคำแหงมหาราช โอรสเสด็จติดตามไปด้วยและพทัพทั้งสองได้ปะทะกัน ณ ที่แห่งนี้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงได้ไสช้าง เบิกพลเข้าช่วยจนได้รับชัยชนะจึงได้สร้างเจดีย์ขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติในการทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ

วัดดอนแก้ว

ตั้งอยู่หลังที่ว่าการอำเภอแม่ระมาด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันเป็นปฏิมากรรมของชาวพม่าที่มีอยู่ 3 องค์ในโลก แกะสลักจากหินอ่อนทั้งแท่ง โดยองค์แรกประดิษฐานที่ประเทศอินดีย องค์ที่สองประดิษฐานที่ประเทศปากีสถาน และองค์ที่สามประดิษฐานที่วัดดอนแก้ว หมู่ที่ 6 อำเภอแม่ระมาด โดยเมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2465 ขุนระมาดไมตรี และชาวแม่ระมาดได้ไปติดต่อขอเช่าบูชามาจากพม่าในราคา 800 รูปี มีขนาดหน้าตักกว้าง 50 นิ้ว สูงจากฐานถึงเศียร 63 นิ้ว โดยนำมาทางเรือผ่านเมืองมะละแหม่ง แล้วเดินทางต่อจนถึงท่าเรือจองโต ท่านครูบาขาวปี ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวบ้านและชางเมืองเหนอได้ไปรับพระพุทธรูปหินอ่อนแล้ว อัญเชิญขึ้นบนเกวียนผ่านเมืองกรุกกริก บ้านจ่อแฮ (บ้านกะเหรี่ยง) การเดินทางยากลำบาก และล่าช้าเพราะเป็นภูเขาสูงชันต้องนอนพักแรมระหว่างทางถึงหมู่บ้านป๋างกาง การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นเพระาเป็ฯพื้นราบกระทั่งถึงหมู่บ้านเมียวดี ริมฝั่งแม่น้ำเมย เขตประเทศสหภาพเมียนมาร์ และข้ามแม่น้ำเมยเข้าสูประเทศไทยที่บ้านท่าสายลวด เขตแม่สอด และเดินทางไปยังอำเภอแม่ระมาดจึงอัญเชิญพระพุทธรูปหินอ่อนประดิษฐาน ณ วิหารวัดดอนแก้ว ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2465 รวมเวลาที่ไปอัญเชิญพระพุทธรูปหินอ่อนในครั้งนี้เป็นเวลา 12 วัน 


ศาลเจ้าพ่อพะวอ

ตั้งอยู่บนเนินดินเชิงเขาพะวอ ถนนสายตาก - แม่สอด บริเวณกิโลเมตรที่ 62 - 63 ศาลนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองตาก และชาวอำเภอแม่สอดมาก เล่ากันว่าท่านเป็นนักรบชาวกะเหรี่ยง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแต่งตั้งให้เป็นนายด่านอยู่ที่ด่านแม่ละเมา เพื่อคอยป้องกันข้าศึกมิให้ข้ามเขามาได้ เดิมทีศาลเจ้าพ่อพะวออยู่อีกด้านหนึ่งของเขา แต่เมื่อตัดถนนไปทางใหม่จึงได้มาสร้างศาลขึ้นใหม่ มีผู้เล่าว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าใครไปล่าสัตว์ในบริเวณเขาพะวอแล้วมักจะเกิดเหตุต่างๆ เช่น รถเสีย เจ็บป่วย หรือหลงทาง และเพราะเหตุที่เจ้าพ่อพะวอเป็นนักรบ จึงชอบเสียงปืน ทำให้ผู้ที่เดินทางมาสักการะมักยิงปืนถวาย จุดประทัด หรือบีบแตรถวายท่านเป็นการแสดงความเคารพ 


เขื่อนภูมิพล

 เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เขื่อนยันฮี เป็นเขื่อนเอนกประสงค์แห่งแรกในประเทศไทย สร้างเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้งขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในประเทศไทย และเอเชียอาคเนย์ จัดอยู่ในอันดับ 8 ของโลก มีความสูงจากฐานถึงสันเขื่อน 154 เมตร กั้นแม่น้ำปิงที่เขาแก้ว อำเภอสามเงา สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า และด้านชลประทาน ความยาวของลำน้ำจากเขื่อนถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะทาง 207 กิโลเมตร รอบบริเวณเขื่อนภูมิพลเป็นแหล่งพักผ่อน และเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืดด้วย นอกจากนั้นทางเขื่อนภูมิพลได้จัดทำ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ สองฝั่งลำน้ำปิงเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ตื่น เป็นเส้นทางเดินศึกษาสภาพความหลากหลายของพื้นที่ป่าดิบเขา และการฟื้นฟูสภาพป่า ตลอดจนการศึกษาลักษณะสภาพป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ความหลากหลายของภูเขาหิน ลำห้วย และน้ำตก เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์
อาคารเฉลิมพระเกียรติ์   ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสวนน้ำพระทัย จ้ดสร้างขึ้นในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ภายในอาคารจัดแสดงเรื่องราวการก่อสร้างเขื่อนและนำเสนอประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อมที่เกิดจากเขื่อนภูมิพล เรื่องในหลวงกับ กฟผ. การจำหน่ายผลผลิตจากโครงการหลวง ภายนอกอาคารจัดแสดงการทำงานของกังหันน้ำชัยพัฒนา
สนามกอล์ฟเขื่อนภูมิพล เป็นสนามภูเขาที่มีความท้าทายท่ามกลางธรรมชาติ และภูมิทัศน์ที่สวยงาม ระยะ 6,065 หลา พาร์ 71 จำนวน 18 หลุม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองที่พักได้ที่เขื่อนภูมิพล โทร. 0 5554 9509-10, 0 5559 9093-7, ต่อ 2521  


บ่อน้ำร้อนห้วยน้ำนัก  

เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ น้ำในบ่อนี้เป็นน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อุณหภูมิวัดได้ 60 องศาเซลเซียส สามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี

การเดินทาง
ใช้ทางหลวงหมายเลข 1206 สายพบพระ - บ้านช่องแคบ (ใช้เส้นทางเดียวกับน้ำตกพาเจริญ) มีทางแยกขวาก่อนเข้าอำเภอพบพระแล้วให้แยกขวาทางไปหมู่บ้านห้วยน้ำนัก


ุศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

  ตั้งอยู่ที่ถนนจรดวิถีถ่อง ใกล้กับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศาลนี้แต่เดิมอยู่ที่วัดดอยเขาแก้วฝั่งตรงข้ามกับตัวเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 ชาวเมืองเห็นว่าศาลนั้นไม่สมพระเกียรติ จึงช่วยกันสร้างศาลขึ้นใหม่พร้อมกับให้กรมศิลปากรหล่อพระบรมรูปสมเด็จพระ เจ้าตากสินมหาราชขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริงเล็กน้อย ในพระอิริยาบถที่กำลังประทับอยู่บนราชอาสน์ มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา ที่ฐานพระบรมรูปมีคำจารึกว่า พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2277 สวรรคต พ.ศ. 2325 รวม 48 พรรษา ศาลนี้เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป 


สะพานมิตรภาพไทย-พม่า (ประตูเชื่อมอันดามันสู่อินโดจีน)

  ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าสายลวด สุดทางหลวงหมายเลข 105 (สายตาก-แม่สอด) เป็นสะพานสร้างข้ามแม่น้ำเมยระหว่างอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับ เมืองเมียวดีสหภาพเมียนมาร์ (หรือพม่าเดิม) มีความยาว 420 เมตร กว้าง 13 เมตร สร้างเพื่อเชื่อมถนนสายเอเซียจากประเทศไทยสู่สหภาพเมียนมาร์ ตลอดจนภูมิภาคเอเซียใต้ ถึงตะวันออกกลางและยุโรป เป็นประตูสู่ อินโดจีนและอันดามัน แม่น้ำเมย หรือแม่น้ำต่องยิน เป็นเส้นกั้นเขตแดนไทย เมียนมาร์ที่ยาวถึง 327 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้แปลกกว่าแม่น้ำทั่วไปคือไหลขึ้นทางทิศเหนือ โดยมีจุดกำเนิดที่บ้านน้ำด้น (เป็นน้ำที่ผุดขึ้นจากใต้ดิน) อำเภอพบพระ ไหลผ่านอำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำภอท่าสองยาง ผ่านบ้านสบเมย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บรรจบกับแม่น้ำสาละวิน ไหลเข้าเขตพม่าลงอ่าวมะตะบัน 


ดอยหัวหมด
อยู่ในเขตอำเภออุ้มผาง เป็นภูเขาหินปูนที่ทอดตัวเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน บนภูเขาเหล่านี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขี้น มีแต่ต้นหญ้าเตี้ย ๆ เช่น ปรง ต้นเทียน ซึ่งจะออกดอกบานในช่วงฤดูฝน มีจุดชมวิวซึ่งเหมาะที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และดูทะเลหมอกท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนในยามเช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาว การเดินทางใช้เส้นทางอุ้มผาง-ปะละทะ ประมาณ 10 กม. จุดชมวิวจุดแรดอยู่ที่ กม.9 ต้องเดินขึ้นเขาไป 20 นาที จุดชมวิวอีกจุดหนึ่งอยู่ประมาณ กม. 10 มีทางแยกซ้ายไปลานจอดรถและ ใช้เวลาเดินเท้า 5 นาที การชมทะเลหมอกขึ้นยามเช้าควรไปถึงจุดชมวิวก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 05.00-06.00 น. อากาศบนดอยค่อนข้างเย็น  มีลมพัดตลอดเวลา

วัดมงคลคีรีเขตร์ (ครูบาสร้อย)

ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายแม่สอด-ท่าสองยาง-แม่สะเรียง บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 136 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสองยาง อยู่ติดกับ ลำห้วยแม่จวง สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.2462 สิ่งที่น่านใจภายในวัดนี้คือ กุฏิครูบาสร้อย ขันติสาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดมงคลคีรีเขตร์ มรณภาพเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป ทั้งชาวไทยและชาวพม่าเชื้อสายกะเหรี่ยงที่อยู่ตรงข้ามอำเภอชายแดนฝั่งตะวัน ตก เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่มีอาคมกล้าแข็งสามารถป้องกันอันตรายต่างๆให้กับผู้ที่ เคารพนับถือ ซึ่งวัดนี้อยู่ตรงข้ามกับค่ายทหารกระเหรี่ยง มีชื่อค่ายว่า แม่ตะวอ เมื่อมีการสู้รบรุนแรง ดังนั้นชาวบ้านและกระเหรี่ยงทั้งไทย แะพม่าจึงเจ้ามาหลบภัยอยู่ที่วัดนี้นี่เอง ครูบาสร้อยได้มรณภาพเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ปัจจุบันอยู่ในโลงแก้วในกุฏฺ ที่ท่านเคยอยู่โดยไม่เน่าเปื่อย 


เมืองเก่าท่าสองยาว

ตั้งอยู่บริเวณห้วยลึก ห้วยธาตุริมฝั่งแม่น้ำเมยทางทิศใต้ของชุมชนแม่ต้าน สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของเมืองฉอดเก่า จากการสำรวจของกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2502 พบซากเมืองโบราณอยู่ในป่าด้านทิศใต้บ้านแม่ต้านริมฝั่งแม่น้ำเมย ภายในเมืองโบราณมีแนวเทินดินมีคูคั่นเป็นกำแพงเมืองโบราณ ทางด้านทิศตะวันตก มี 3 ชั้น มีโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ 10 แห่ง บ่อน้ำสี่เหลี่ยมกรุอิฐ ลึกประมาณ 20 เมตร 1 บ่อ ลานกว้างบนยอดดอยมีพระเจดีย์แบบเชียงแสน 1 องค์ นอกจากนี้ยังพบก้อนอิฐส่วนมากเป็นแบบสุโขทัย มีอิฐแบบอยุธยาปนอยู่บ้าง ไม่มีปูนสอ รอบโบสถ์ พบกองอิฐวางประจำอยู่ทิศทั้ง 8 เหมือนกับที่พบที่โบราณสถานที่บางแห่งในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ใบเสมาพบแผ่นเดียวที่ดอยพระธาตุ พบแผ่นสัมฤทธิ์มีลวดลายสำหรับประดับองค์ระฆังแบบเชียงแสน พบพระพุทธรูปแบบสัมฤทธิ์แบบเชียงแสนหลายองค์ ภายในบริเวณเมืองเก่ามีศาลเจ้าอโมกขละ มีวัดเก่าที่ร้างหลายแห่ง และมีเจดีย์เก่าที่สำคัญ คือ พระธาตุเมืองเก่าห้วยลึก ได้บูรณะหลายครั้งเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.2412 มีชาวกระเหรี่ยงชื่อ นายพะสุแฮ ได้ศรัทธา ทำการบูรณะพระเจดีย์องค์นี้จนเป็นผลสำเร็จต่อมาปี พ.ส. 2470 พระอภิชัย (ปี๋) หรือ ประขาวปี๋ ได้บูรณะขึ้นใหม่โดยทำเป็ฯเจดีย์ทรางสี่เหลี่ยมและมีงานประเพณีสรงน้ำพระ ธาตุ ในวันที่ 19 เมษายนของทุกปี เรียกว่า วันน้ำทิพย์ของชาวบ้านแม่ด้าน บริเวณใกล้เคียงเรียกว่าโบราณสถานทุ่งกากอกพบโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ มีผุ้พบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ แบบเชียงแสนกว่า 400 องค์ กำแพงก่อเป็นเทินดิน 2 ชั้น มีคูคั่นหนอง ซึ่งเชื่อกันว่าขุดเอาดินไปทำอิฐ อิฐที่โบสถ์ วิหาร และเจดีย์เป็นแบบสุโขทัย เนื้อข้าวไม่มีแกลบก่ออ้วยปูนสอ พบก้อนหินอยู่รอบโบสถ์ซึ่งเข้าใจว่าใช้แทนใบเสมา 


อำเภอท่าสองยาง 

เป็นอำเภอชายแดนติดกับประเทศพม่า อยู่ติดลำน้ำเมย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขาสูงตามแนวเทือกเขาถนนธงชัย ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยพื้นราบ ประกอบอาชีพทำไร่ ระยะทางจากอำเภอแม่สอด - อำเภอท่าสองยาง ประมาณ 84 กิโลเมตร รวมระยะทางจากตัวอำเภอเมืองตากถึงอำเภอท่าสองยางประมาณ 169 กิโลเมตร 


น้ำตกนางครวญ

น้ำตกนางครวญ เดิมชื่อ น้ำตกเพอะพะ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกพบพระ และเปลี่ยนมาเป็นชื่อ น้ำตกนางครวญ เป็นน้ำตกขนาดกลางไหลลดหลั่นลงไปเป็นชั้นเล็กๆ ท่ามกลางป่าร่มรื่น มีต้นน้ำมาจากลำคลองริมท้องนาข้างทาง และทางการได้ตัดถนนผ่านตัวน้ำตกจึงแลดูเป็นน้ำตกเล็กๆ

การเดินทาง
ใช้เส้นทางหลวงสาย 1090 พอถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 31-32 มีทางแยกขวามือเข้าอำเภอพบพระ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1206 ที่อยู่ริมสะพานคอนกรีตด้านขวาบริเวณกิโลเมตรที่ 12 ก่อนถึงอำเภอพบพระเล็กน้อย 


ไร่กุหลาบ อ.พบพระ

เป็นอำเภอที่มีชายแดนติดกับสหภาพพม่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดตาก การเดินทาง ใช้เส้นทางสายตาก - แม่สอด ทางหลวงหมายเลข 105 ถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 75 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1090 ถึงกิโลเมตรที่ 26 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1206 ไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร จึงถึงอำเภอพบพระ รวมระยะทางจากตัวจังหวัดประมาณ 135 กิโลเมตร ก่อนที่กรมทางหลวงจะตัดถนนลาดยางสายแม่สอด - พบพระ (ทางหลวงหมายเลข 1206) นั้น การคมนาคมระหว่างสองอำเภอนี้ลำบากมากเพราะพื้นที่ของอำเภอพบพระเป็นพื้นที่ ราบสูงระหว่างภูเขารับลมมรสุมจากอ่าวเมาะตะมะ ดังนั้นพื้นที่นี้จึงมีฝนตกชุกที่สุดในเขตภาคเหนือราว 2,300-3,000 มิลลิเมตร เส้นทางการคมนาคมจึงมีแต่โคลนตม ต้องเดินลุยโคลนกัน ชาวบ้านจึงเรียกว่า ขี้เปรอะเพอะพะ แปลว่า ขี้โคลนเปรอะเลอะเทอะ หมายความว่า ถ้าใครผ่านไปแถบนี้ขาแข้งจะมีแต่ขี้โคลนเปรอะเพอะพะ จึงเรียกบริเวณนี้ว่า บ้านเพอะพะ แล้วจึงเปลี่ยนเป็น พบพระนับว่ามีพื้นที่ปลูกกุหลาบมากที่สุดในภาคเหนือ มีสายพันธุ์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะกุหลาบไร้หนาม นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกฤดูกาล สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภาคเหนือเขต 4 โทร. 0 55514341-3 


น้ำพุร้อนแม่กาษาและถ้ำแม่อุษา

การเดินทางไปยังน้ำ พถร้อนแม่กาษาและถ้ำแม่อุษานั้น ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สอด-แม่ระมาด) แยกขวาตรงหลักกิโลเมตรที่ 13 ผ่านหมู่บ้านแม่กาษาถึงน้ำพุร้อนและถ้ำแม่อุษา ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จำนวน 2 บ่อ มีอุณหภูมิของน้ำสูง ประมาณ 75 องศาเซลเซียส ปัจจุบันมีห้องบริการอาบน้ำแร่และบ่ออาบน้ำ ซึ่งไม่มีกลิ่นฉุนจากก๊าซกำมะถัน บริเวณโดยรอบบ่อน้ำพุร้อนมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและยังมีถ้ำแม่ อุษาที่สวยงาม เป็นถ้ำขนาดใหญ่มีห้องโถงถึง 13 ห้องที่มีทางเดินถึงกันได้ทุกห้อง ภายในมีหินงอกหินย้อยรูปแบบต่างๆ แต่ละห้องจะมีความสวยงามแปลกตาไม่เหมือนกัน เช่น ห้องเห็ดหลินจือ เพชรพิมาน กำหล่ำแก้ว ธาราแก้ว เสาเอก กาน้ำเจ้าแม่อุษา เป็นต้น ภายในอากาศโปร่งเย็นสบายไม่อับและเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวนับล้านตัว ใช้เวลาเดินชมความงดงามภายในถ้ำประมาณ 3 ชั่วโมง  นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางได้ที่ศูนย์บริการหมายเลข โทรศัพท์ 0 5555 7190, 0 5555 7133 


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น            

ตั้งอยู่บริเวณป่าแม่ตื่น มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในเขตอำเภอแม่ระมาด และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีเนื้อที่ 733, 125 ไร่ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขาสูงชันสลับซับซ้อนมีป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง

สถานที่น่าสนใจในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น ได้แก่
ดอยขุนแม่ตื่น  อยู่บริเวณหลังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น มีลานหิน เป็นบริเวณกว้าง มีถ้ำขนาดเล็ก ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เช่น เก้ง เลียงผา ค้างคาว เป็นต้น
ลำน้ำแม่ตื่น เป็นลำน้ำสาขาที่มีขนาดใหญ่ของลำน้ำแม่ปิง ไหลมาบรรจบกับลำน้ำปิงเหนือเขื่อนภูมิพล เป็นบริเวณที่มี การล่องแก่งเรือยางลำน้ำแม่ตื่น โดยเริ่มต้นที่ ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด ซึ่งอยู่แยกจากทางสายแม่ระมาด-บ้านตาก ประมาณกิโลเมตรที่ 30 ล่องไปตามลำน้ำแม่ตื่น ระยะทาง 12 กิโลเมตร ผ่านกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น ซึ่งนอกจากจะได้ชมความงามตามธรรมชาติของป่า และนกนานาพันธุ์แล้ว ยังได้ผจญภัยกับการล่องเรือยางผ่านเกาะแก่งตามลำน้ำแม่ตื่น และสัมผัสชีวิตของชาวแพเหนือทะเลสาบแม่ปิง
ดอยสอยมาลัย เป็นยอดเขาสูงที่สุดของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น ยอดดอยอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร จากยอดดอยสามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลได้ และมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ สลาแมนเดอร์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จิ้งจกน้ำ เป็นสัตว์น้ำดึกดำบรรพ์ที่หายาก ลักษณะคล้ายจิ้งจก ลำตัวสีชมพู สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าสนเมืองหนาว มีจุดชมวิวทะเลหมอกในยามเช้า ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคมเป็นช่วงที่เหมาะแก่การท่อง เที่ยวที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์พักแรมได้บริเวณที่ทำการฯ โดยจะต้องขออนุญาตที่หน่วยพิทักษ์ป่ากิ่วสามล้อก่อนขึ้นดอยสอยมาลัยทุกครั้ง
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1175  สายบ้านตาก-แม่ระมาด รถยนต์ที่ใช้ควรเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ


พระธาตุหินกิ่วที่ดอยดินจี่

ตั้งอยุ่ท่บ้านวังตะเคียน หมู่ที่ 5 ต.ท่าสายลวด วัดพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่มีพระธาตุประดิษฐานอยู่ในสถูปเจดีย์ชาวบ้านเรียก ว่า "พญาล่อง" ตั้งอยู่บนภูเขา ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมอญขนาดเล็ก สร้างไว้บนก้อนหินด้วยแรงศรัทธาในกพระพุทธศาสนา เป็นความมหัศจรรย์จาธรรมชาติลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนชะง่อนผา กิ่วคอดเหมือนจะขาดออกจากกัน ชาวบ้านเรียกหินมหัศจรรย์นี้ว่า "เจดีย์หินพระอินทร์แขวน" ประวัติความเป็นมาใสการสร้างพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้สร้างเป็นชาวกะเหรี่ยงในสมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ชื่อว่า นายพะส่วยจาพอได้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้นำเงินตราเหรียญรูปี บรรทุกหลังช้างมาเพื่อหาที่สำหรับสร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ครั้นมาถึงบริเวณผากินกิ่ว (หรือดินจี่) ได้มองเห็นหินก้อนใหย่โดชะโงกงำตั้งอยู่บนหน้าผาสูงขัน และมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระอินทร์แขวนในจังหวัดมัณพเลย์ ประเทศพม่า จึงได้ทำการก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้นำพระสารีสริกธาตุบรรจุไว้ในองค์เจดีย์ พร้อมกับพระพุทธรูปทองคำจำนวน 5 องค์ พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง มองลงมาข้างล่างจะเห็นทิวทัศน์ในเขตประเทศพม่าชัดเจน หินที่อยู่บนดอยนี้มีลักษณะสีดำหรือสีนำตาลไหม้ จึงเรียกว่า "พระธาตุดอยดินจี่" ซึ่งหมายถึงดินที่ไฟไหม้ ในราวเดือน กุมภพันธ์ ชาวอำเภอแม่สอด และหม่าจะมีงานนมัสการพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่นี้ทุกปี นอกจากนี้บริเวณวัดพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ยังมีสิ่งสำคัญคือ เรือโบราณพบเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2539 โดยชาวบ้านวังตะเคียน ได้ช่วยกันกู้ขึ้นมาเก็บรักษาไว้ที่เชิงดอยดินกี่ เป็นเรือท่าขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ขนาดจองเรือกว้าง 126 เมตร ยาว 13.35 เมตร สูง 0.52 เมตร หนา 0.04 เมตร ส่วนหัวเรือและท้ายเรือ มีความยาวเท่ากัน (ประมาณ 1.20 เมตร) ภายในเรือมีช่องสำหรับสอดไม้กระดานเพื่อทำเป็นที่นั่ง จำนวน 4 ช่อง มีระยะห่างไม่เท่ากัน จากรูปและขนาดของเรือ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งอาหารหรือสินค้าระหว่างทั้งสอง ฝั่งแม่น้ำเมย มีอายุประมาณ 200 ปี
การเดินทาง

ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 ผ่านหมู่บ้านท่าอาจ และหมู่บ้านวังตะเคียน จะพบทางแยกขวามือมีป้ายบอกทางไปพระธาตุหินกิ่ว 3 กิโลเมตร


หาดทรายทองแม่ปิงเมืองตาก
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก ตำบลป่ามะม่วง ตรงข้ามตัวเมืองตาก เป็นหาดทรายที่สร้างขึ้นทอดตัวยาวตลอดแนวแม่น้ำปิงมีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่มีต้นไม้ ร่มรื่น ทรายขาว สะอาดไม่แพ้ชายทะเล เป็นสถานที่พักผ่อนและเล่นน้ำของชาวเมืองตาก นักท่องเที่ยวจังหวัดใกล้เคียง สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวและเล่นน้ำได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงทะเล นังหวัดตากได้จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ห่วงยาง เก้าอี้ ชายหาดไว้ให้เช่า อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการเล่นกีฬาทางน้ำทุกชนิดนับเป็นความภาคภูมิใจของชาว เมืองตากทุกคน

ตรอกบ้านจีน

ตั้งอยู่ที่ถนนตากสิน ใกล้วัดสีตลาราม ตำบลระแหง เป็นชุมชนการค้าขายที่รุ่งเรืองมากในอดีต โดยมีชาวจีนชื่อ "จีนเต็ง" ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ มาทำการค้าขายไปถึงเชียงใหม่ และได้ขยายกิจการลงมาถึงเมืองตาก ได้เข้าหุ้นส่วนค้าขายกับพ่อค้าจีนอีกสองคนชื่อ "จีนบุญเย็น" และ "จีนทองอยู่" ต่อมาได้เข้าเกี่ยวพันกับระบบราชการไทยกล่าวคือ "จีนบุญเย็น" ได้รับแต่ตั้งเป็น "หลวงนราพิทักษ์" ปลัดฝ่ายจีนเมืองตาก แล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็น "หลวงจิตรจำนงค์วานิช" สังกัดกรมท่าซ้าย ส่วนจีนทองอยู่ได้เป็นหลวงบริรักษ์ประชากรกรมการพิเศษเมืองตาก อากรเต็งและหุ้นส่วนทั้งสองใช้ยี่ห้อการค้าว่า "กิมเซ่งหลี" ห้างกิมเซ่งหลีได้เข้ารับช่วงผูกขาดการจัดเก็บภาษีอาการ ที่เมืองเชียงใหม่จึงได้นำพวกคนจีนเข้ามาอยู่ละแวกบ้านนี้ และได้แต่งงานกับผู้หญิงชาวเมืองตากชื่อ "นางก้อนทอง" มีบุตรชายหนึ่งคนและตั้งบ้านเรือนทำการค้าขายขยายวงขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 "จีนเต็ง" ได้มอบหมายให้ "หลวงบริรักษ์ประชากร" (จีนทองอยู่) เป็นผู้จัดเก็บภาษีฝิ่น อากรสุรา บ่อนเบี้ย และหวย ก.ข. จนกระทั่ง พ.ศ. 2452 รัฐบาลเริ่มเข้ามาจัดเก็บเอง ภายหลังละแวกหมู่บ้านนี้จึงมีแต่ลูกหลานจีนดำเนินการค้าขาย ปลูกบ้าน ร้านค้า เริ่มมีถนนหนทางแต่เป็นเพียงทางเดินเท้า ร้านค้าจะมีของขายทุกอย่าง ในซอยตรอกบ้านจีนจะมุงหลังคาบ้านชนกัน จึงเป็นท่ร่มใช้เดินถึงกันได้ตลอด มีร้านขายถ้วยชาม ร้านผ้า ร้านหนังสือเรียน ร้านเครื่องอัฐบริขารในการบวชพระ สถานที่ควรพูดถึงในสมัยนั้น คือ สะพานทองข้ามปากคลองน้อยซึ่ง "คุณย่าทอง ทองมา" เป็นผู้สร้างและม่เสาโทรเลขซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกว่า เสาสูง ต่อมามีการปกครองในระบอบประขาธิไตย "นายหมัง สายชุ่มอินทร์" ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรคนแรก ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในละแวกนั้น ตรอกบ้านจีนในสมัยนั้นมี 3 หมู่บ้าน หมู่บ้านเสาสูง หมู่บ้านปากครองน้อย หมู่บ้านบ้านจีน ต่อมาปี 2495 ทางเทศบาลได้รื้อสะพานทองและถมเป็นถนน เริ่มมีรถยนต์ใช้และหมู่บ้านก็เริ่มกั้นเขตแดนล้อมรั้ว ปี 2497 มีรถยนต์เล็กๆ วิ่งเข้าออกได้ ตรอกบ้านจีนเริ่มซบเซาลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2484 ร้านค้าเปิดอพยพไปอยู่ที่อื่นเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง การค้าขายจึงได้ขยายขึ้นไปทางทิศเหนือ ปัจจุบันบ้านจีนจึงเหลือแต่บ้านเก่าๆ ซึ่งยังคงลักษณะของสถาปัตยกรรมเดิมไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ เหมาะสำหรับเดินทางเที่ยวชมสภาพบ้านเรือนโดยรอบและวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของ ชุมชนตรอกบ้านจีน


ดอยสอยมาลัย  

ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร สิ่งที่น่าสนใจ คือ สลาแมนเดอร์ หรือ จิ้งจกน้ำ สัตว์น้ำดึกดำบรรพ์ที่หายาก ลักษณะเหมือนจิ้งจก ลำตัวสีชมพู พื้นที่ทั่วไปมีสภาพเป็นป่าสนเมืองหนาว มีจุดชมวิว และชมทะเลสาบยามเช้าที่สวยงาม จุดกางเต็นท์พักแรมมี 3 จุด คือ หน่วยต้นน้ำเขื่อนภูมิพล บริเวณยอดสอยมาลัย หน่วยจัดการต้นน้ำกรมป่าไม้

การเดินทาง จากทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าไป อ.บ้านตาก 22 กม. เลี้ยวซ้ายเข้า อ.บ้านตาก ข้ามแม่น้ำปิง ไปตามทางหลวงหมายเลข 1175 ประมาณ 40 กิโลเมตร แยกเจ้าทางลูกรังไปประมาณ 10 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น โทร. 0 5551 9609 หรือ กรมอุทยานฯ โทร. 0 2562 0706

หมายเหตุ ก่อนขึ้นพิชิตหลังคาเมืองตาก ต้องขออนุญาตจากหน่วยพิทักษ์ป่าเกี่ยวสามล้อก่อนทุกครั้ง ซึ่งเลยปากทางขึ้นดอยไปประมาณ 2 กม. และพาหนะเดินทางต้องเป็น รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น


ุศาลหลักเมืองสี่มหาราช 
ตั้งอยู่เชิงสะพานกิตติขจร ก่อนเข้าตัวเมืองตาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมืองตากเป็นเมืองเก่ามีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย เป็นเมืองที่มีพระมหาราชเจ้าในอดีตได้เสด็จมาชุมนุมกองทัพที่เมืองตากถึง 4 พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงชนช้างกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแกรง แล้วยกทัพกลับราชอาณาจักรไทย โดยเสด็จผ่านดินแดนเมืองตากเป็นแห่งแรก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงนำทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ และได้สร้างวัดพระนารายณ์ ปัจจุบันอยู่ที่เชิงสะพานกิตติขจร และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตากเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระ มหากรุณาธิคุณของอดีตมหาราช ทั้งสี่พระองค์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดตาก จึงได้จัดสร้างศาลหลักเมืองสี่มหาราชขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2535 

ศาลเจ้าพ่อขุนสามชน

ตั้งอยู่ทางขวามือ ทางหลวงหมายเลข 105 (ตาก-แม่สอด) ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 70-71 ศาลนี้เพิ่งสร้างเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อปลายปี 2523 เหตุที่สร้างศาลนี้เล่ากันว่ามีคหบดีผู้หนึ่งเจ็บปวดด้วยโรคอัมพาตมาช้านาน แล้วได้ฝันว่ามีผุ้มาบอกให้สร้างศาลแห่งนี้ขึ้นตรงบริเวณที่เป็นศาลปัจจุบัน คหบดีผู้นี้จึงสร้างศาลขึ้นถวายเรียกว่า ศาลเจ้าพ่อขุนสามชมนับแต่นั้นมาอาการของคหบดีผู้นั้น ก็เป็นปกติ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือศาลนี้มาก 


ผาสามเงา          

อยู่ในตำบลย่านรี จากอำเภอเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 1107 (เจดีย์ยุทธหัตถี-เขื่อนภูมิพล)ผ่านทางแยกไปเจดีย์ยุทธหัตถีประมาณ 25 กิโลเมตร หรือถ้าใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงกิโลเมตรที่ 463 จะมีทางแยกซ้ายเข้าเขื่อนภูมิพลไปประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงอำเภอสามเงา ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำปิง จะมองเห็นขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า "ผาสามเงา" เพราะเป็นที่เชิงเขาริมหน้าผานั้นเจาะเป็นช่องลึกเข้าไปในเนื้อภูเขาเรียง กัน 3 ช่อง ประดิษฐานพระพุทธรูปปิดทองช่องละองค์ มีบันไดไม้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปได้ จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.1206 มีพระฤาษีสององค์สร้างเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) และให้คนมาทูลเชิญราชวงศ์กษัตริย์จากเมืองละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบัน ไปครองเมืองหริภุญชัย พระนางจามเทวี ได้รับมอบหมายให้ไปครองเมืองตามคำเชิญ พระนางจึงเสด็จมาทางชลมารค ขึ้นมาตามลำน้ำปิงปรากฏว่าเมื่อมาถึงบริเวณหน้าผาแห่งนี้เกิดเหตุมหัสจรรย์ มีฝนและพายุใหญ่พัดกระหน่ำจนเรีอไม่สามารถแล่นทวนน้ำขึ้นไปได้และปรากฏเงา พระพุทธรูปสามองค์ที่หน้าผาริมน้ำปิงแห่งนี้ พระนางจึงสั่งให้เจาะหน้าผาและสร้างพระพุทธรูปบรรจุไว้ในช่อง ช่องละองค์ ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า "ผาสามเงา" สืบมา 


ตลาดริมเมย สุดชายแดนไทย-พม่า หรือ สุดประจิมที่ริมเมย

ตั้งอยู่ต.ท่าสายลวด สุดทางหลวงหมายเลข 105 (สายตาก-แม่สอด) เป็นสถานที่ติดต่อค้าขายระหว่างไทย-พม่าโดยมีแม่น้ำเมยเป็นเส้นกั้นเขตชาย แดนไทย-พม่า เป็นตลาดขายสินค้านำเข้าจากประเทศอินเดียและจีน ซึ่งตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายอัญมณีที่มีชื่อเสียง เช่น หยก ทับทิม และพลอยสีจากพม่า ซึ่งมีทั้งแปรรูปเป็นอัญมณีรียบร้อยแล้ว และยังไม่ได้แปรรูปอีกมากมาย ตลอดจนงานหัตถกรรม เฟอร์นิเจอร์ วัตุโบราณจากไม้สัก

การเดินทาง
สามารถขึ้นรถสองแถวจากตลาดอำเภอแม่สอดไปตลาดริมเมยทุกวัน โดยลงที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า อัตราค่าโดยสารคนละ 10 บาท


สะพานแขวนสมโภช กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
ี เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุครบ 200 ปี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2525 โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เพื่อเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำปิงระหว่างเทศบาลเมืองตาก และตำบลป่ามะม่วง ซึ่งในอดีตสามารถใช้รถจักรยานและรถจักรยานยนต์สัญจร แต่ปัจจุบันเป็นสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์แม่น้ำปิงและมีการประดับไฟสวย งามมากในยามค่ำคืน โครงสร้างของสะพานมีขนาดความกว้าง 250 เมตร ยาว 400 เมตร ฐานรากและจุดพื้นเป็นไม้โยงยึดด้วยลวดสลิงขนาดใหญ่ 

อุทยานประวัติศาสตร์เมืองตากเก่า

ดินแดนล้านนาตะวันตก อายุกว่า 2,000 ปี ที่ตั้งของเมืองซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเป็นที่หมายปองของ 2 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีด คือ ล้านนา และสุโขทัยตั้งอยู่บริเวณตำบลเกาะตะเภา ลักษณะเดิมของเมืองตากเก่าตั้งอยู่บนเนินดินสูงราว 20 เมตร มีกำแพงเมืองและคูน้ำล้อมรอบด้านละ 2-3 ชั้น ร่องรอยของแนวกำแพงเมืองซึ่งสร้างเป็นดินเหลือให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก มีพื้นที่ภายในกำแพงเมืองประมาณ 172 ไร่ ปัจจุบันเป็นป่าไผ่ และเนินเขาสภาพทั่วไป ตัวเมืองเป็นรูปวงรีไปตามลักษณะของเนินเขาที่ตั้งตัวเองอยู่ห่างจากแม่น้ำ ปิงประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในกำแพงเมืองมีโบราณสถานสำคัญ เช่น เจดีย์ยุทธหัตถี วัดสันย่าผ้าขาว วัดโขงพระโหมด วัดโองโมงค์ วันหนองช้างเผือก ด้านทิศใต้มีห้วยล้องลี่ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยการดัดแปลงของมนุษย์ ด้านทิศเหนือมีหนองน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า หนองเล่ม ด้านทิศตะวันออกมีแนวแม่น้ำปิง 


วัดพระนารายณ์มหาราช   

วัดนี้อยู่บนเนินเขาแก้ว ตำบลแม่ท้อใต้วัดดอยข่อยเขาแก้วลงไปประมาณ 12 กิโลเมตร มีซากพระอุโบสถซึ่งผูกพัทธสีมา 2 ชั้น จึงทำให้เข้าใจว่าน่าจะเป็นวัดหลวงมาก่อน แต่เดิมมีกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ ทางกำแพงด้านในทำเป็นช่องเล็กๆ เต็มไปหมดทั้ง 4 ด้าน ช่องเหล่านี้คล้ายกับช่องสำหรับตามประทีปที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ในบริเวณวัดพระนารายณ์มหาราชนั้นมีวิหารน้อยอยู่อีกแห่งหนึ่งเป็นสิ่งปลูก สร้างในสมัยอยุธยาเหมือนกันและต่อจากวิหารน้อยออกไปมีเจดีย์ฝีมือช่างอยุธยา สร้างหรือปฏิสังขรณ์ แต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะช่องตามประทีปซึ่งทำไว้ตามกำแพงและฐานเจดีย์นั้นเป็นของที่นิยมสร้างใน สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ เพราะก่อนและหลังรัชกาลนี้ไม่ค่อยนิยมสร้างกัน ต่อจากเจดีย์คู่นี้ไปก็มีเจดีย์ใหญ่ฐานสี่เหลี่ยมอีกองค์หนึ่งซึ่งองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเข้าพระทัยว่าน่าจะเป็นของสมเด็จพระชัยราชาธิราช ทรงสร้างไว้แต่ครั้งตีเมืองเชียงใหม่ได้ ใน พ.ศ. 2088 


วัดชุมพลคีรี  

ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลแม่สอด เป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่า 200 ปี มีเจดีย์สร้างใหม่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองของสหภาพพม่า ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ส่วนในวิหารเป็นที่เก็บกลองโบราณมีอายุกว่า 200 ปี


คอกช้างเผือก  

ตั้งอยู่เขตบ้านท่าอาจ ต.ท่าสายลวด ตามทางหลวงหมายเลข 105 (ตาก-แม่สอด) ด่อนถึงตลาดริมเมย ประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาผ่านหน้าวัดไทยวัฒนารามตามทางลาดยาง ประมาณ 2 กิโลเมตร คอกช้างเผือกนี้มีลักษณะเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ปากคอกกว้างประมาณ 15 เมตร เป็นรูบสอบขนานกันไป ยาวประมาณ 50 เมตร ก่อสร้างในสมัยสุโขทัย ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 88 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 หน้า 21 (ฉบับพิเศษ) มีพื้นที่ 7 ไร่ 87 ตารางวาตามพงศาวดารกล่าวว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีมะกะโท (คนเลี้ยงช้าง) เป็นชาวมอญได้เข้ารับราชการเป็นขุนวังมีโอกาสใกล้ชิดพระนางสร้อยดาวพระราช ธิดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อครั้งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช มะกะโทจึงลักลอบพาพระราชธิดาหนีไปอยู่ที่เมืองเมาะตะมะเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้พระราชทานนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว (มีพระราชพงศาวดารพม่าว่า "สมิงวาโร" คำให้การของชาวกรุงเก่า มีพระนามว่า "พระเจ้าวาริหู" ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1 และราชาธิราช มีพระนามว่า "พระเจ้าวาโรตะละไตยเจิญภะตาน") ต่อมามีช้างเผือกดุร้ายเชือกหนึ่ง พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเสี่ยงสัตย์อธิษฐานว่า หากช้างเผือกนี้เป็นช้างคู่บารมีของกษัตริย์นครใด ขอให้ช้างเผือกนี้บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงแน่พระทัยว่าช้างเผือกนี้เป็นช้างคู่บารมีของพระ เจ้าฟ้ารั่วจึงให้ทหารนำสาส์นไปแจ้งให้พระเจ้าฟ้ารั่วมาคอยรับช้างเผือก ครั้นถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งมีแม่น้ำขวางกั้น ทหารที่ติดตามช้างเผือกมาจึงทำพะเนียดล้อมช้างเผือกเอาไว้ เมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วเสด็จมาก็ทำพิธีรับมอบช้างเผือกกัน ณ ที่แห่งนี้


น้ำตกแม่กาษา

อยู่ที่ตำบลแม่กาษา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีทางเดินขึ้นไปบนเขาสูง มีถ้ำ และธารน้ำกว้างประมาณ 5 เมตร เป็นทางจากปากถ้ำถึงน้ำตก

การเดินทาง
จากเส้นทางสายแม่สอด - แม่ระมาด (ทางหลวงหมายเลข 105) ประมาณกิโลเมตรที่ 13 - 14 มีป้ายทางเข้าเขียนว่า บ้านแม่กื๊ดสามท่า จากปากทางเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร และมีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร 



วัดมณีไพรสณฑ์

ตั้งอยู่ถนนอินทรคีรี เขตเทศบาลเมืองแม่สอด พื้นที่ตั้งหน้าวัดติดถนนใหญ่ด้านหลังติดลำห้วยแม่สอด สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2328 ภายในวัดมีปูชนียวัตถุโบราณสถาน ได้แก่ พระพุทธโคดมบรมศรีเมืองฉอด (หลวงพ่อโต) เจดีย์วิหารสัมพุทเธ มีลักษณะแปลกคือ บนองค์เจดีย์มีเจดีย์ เล็กๆ ล้อมรอบถึง 233 องค์ และพระพุทธรูปบรรจุอยู่ถึง 512,028 องค์ มีโบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ที่บริเวณหน้าบัน และหลังคาโบสถ์มีลายไม้ฉลุสวยงาม บริเวณโดยรอบวัดมีซุ้ม และศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ได้แก่ หลวงพ่อสังกัจจาย พระพุทธรูปปูนปั้นปางพุทธไสยาสน์ เป็นต้น 


วัดมณีบรรพตวรวิหาร

อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ใกล้โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและหนองน้ำมณีบรรพต อยู่ก่อนเข้าตัวเมืองเล็กน้อย ตั้งอยู่บนเนินเขา  เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี เป็นวัดหลวงประจำจังหวัด และวัดพัฒนาตัวอย่าง
มีอีกชื่อว่า "วัดเขาแก้ว" เนื่องจากในอดีดพื้นที่วัดเป็นภูเขาเตี้ยๆ มีหินแก้วน้ำค้าง หรือเขี้ยวหนุมานในบริเวณวัด จึงเป็นที่มาของชื่อวัด สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2390 ภายในบริเวณวัดมีเจดีย์ทรงมอญย่อเหลี่ยมไม้ 16 ภายในอุโบสถมีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่วัดนี้ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแสงทอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว ชาวบ้านอัญเชิญมาจากวัดร้างแห่งหนึ่งในเขตตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด เมื่อปี พ.ศ. 2473 ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองตาก  และด้านหลังมีหอไตรกลางน้ำ กุฏิเรือนไทยหมู่


วัดสีตลาราม หรือ วัดน้ำหัก
ตั้งอยู่ที่บ้านจีน ถนนตากสิน ตำบลระแหง เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัด เหตุที่ชาวบ้านเรียกวัดน้ำหัก เพราะในสมัยก่อนบริเวณด้านตะวันตกของวัดเป็นแม่น้ำปิง กระแสน้ำไหลหักวน เนื่องจากเมื่อถึงหน้าน้ำหลาก น้ำจากห้วยแม่ท้อซึ่งไหลแรงมากได้ไหลตัดกระแสน้ำของแม่น้ำปิงให้เบนหักมายัง ท่าน้ำหน้าวัดนี้ ต่อมาได้มีการถมดินสองฝั่งแม่น้ำ ร่องน้ำเปลี่ยนไป จึงไม่มีคุ้งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลวนให้เห็นอีก ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น โบสถ์ และอาคารเรือนไม้สร้างตามศิลปะยุโรป พระอุโบสถของวัดเคยถูกไฟไหม้แต่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ หน้าอุโบสถมีวิหารคต สร้างด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยอยุธยา

หนองน้ำมณีบรรพต         

อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ใกล้วัดมณีบรรพตวรวิหาร และโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หนองน้ำแห่งนี้เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่มีพื้นที่กว่า 60 ไร่ ภายในบริเวณร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ มีศาลาพักผ่อน ปัจจุบันเทศบาลเมืองตากได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะหนองมณีบรรพต เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามกลางเมืองตาก เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นทีพักรถของนักท่องเที่ยว 


วนอุทยานแห่งชาติเขาพระบาท (ฟอสซิลไม้กลายเป็นหินใหญ่ที่สุดในเอเชีย) 

ตั้งอยู่บริเวณท้องที่หมู่ที่ 7 ตำบลตากออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สลิด-โป่งแดง ปากทางเข้าอยู่ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 443 ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนหหลโยธิน) การเดินทางเข้าพื้นที่ ใช้เส้นทางลำลองตรงข้ามโรงพยาบาลบ้านตาก ห่างจากถนนพหลโยธิน ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ไม้กลายเป็นหินที่พบยาวประมาณ 20 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร เป็นไม้กลายเป็นหินที่ใหญ่ที่สุด ตั้งแต่มีการค้นพบในทวีปเอเชีย โดยไม้กลายเป็นหินจัดเป็นฟอสซิลชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากซากต้นไม้ที่ถูกแทนที่ด้วยน้ำบาดาลซึ่งมสารละลายของซิลิกา และเกิดการตกตะกอนกลายสภาพเป็นหินอย่างช้ๆ คือแทนที่แบบโมเลกุลจนกระทั่งกลายเป็นหินทั้งหมด โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและโครงสร้างอีก ไม้กลายเป็นหินมักฝังตัวอยู่ในชั้นกรวด คาดว่าจะเกิดสะสมตัวในยุคควอเตอร์นารีคอนตัน อายุประมาณ 2 ล้านปี จากการแพร่กระจายตวของตะกอนตะพัก ที่ปรากฏน่าจะเกิดสะสมตัวบริเวณตะพักคุ้งน้ำของแม่น้ำปิงโบราณ ก่อนที่จะมีการปรับสภาพและเปลี่ยนทางเดินกลายเป็นแม่น้ำปิงในปัจจุบัน


วัดไทยวัฒนาราม

เดิมชื่อ วัดแม่ตาวเงี้ยว หรือ วัดไทยใหญ่ ตั้งอยู่หมู่ 1 ตำบลท่าสายลวด ห่างจากตัวอำเภอแม่สอดไปประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณกิโลเมตรที่ 84 ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 สายตาก - แม่สอด เส้นที่จะไปตลาดริมเมย ก่อนถึงสะพานมิตรภาพไทย - พม่า เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายานของชาวไทยใหญ่ ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม พิธีกรรมต่างๆ ได้รับอิทธิพลมาจากสหภาพพม่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2400 โดยนายมุ้ง เป็นชาวพม่ารัฐฉาน ที่อพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่สอด และได้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้านแม่ตาว ต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า หมื่นอาจคำแหงหาญ ในปี พ.ศ. 2500 ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้เป็นวัดพระพุทธศาสนาในสังกัดกรมศาสนา ในวัดมีพระพุทธมหามุณี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่จำลองมาจากพระพุทธมหามุณีอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่ เมืองของชาวเมืองมัณฑเลย์ สหภาพพม่า เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดตากศรัทธาเลื่อมใสกันมาก


วัดโบสถ์มณีศรีบุญเรือง
ี อำเภอเมือง จ.ตาก ตั้งอยู่ที่บ้านรมณีย์ ถนนตากสิน ตำบลหนองหลวง วัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2401 บูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2533 ภายในวัดมีเจดีย์ทรงมอญบรรจุพระธาตุไว้ ได้บูรณะฉัตร และบรรจุพระธาตุไว้ที่ส่วนบนของยอดฉัตร ส่วนในวิหารประดิษฐานพระประธานที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อพุทธมนต์ สร้างสมัยสุโขทัย ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 19 มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก

วัดชลประทานรังสรรค์  

อยู่ที่หมู่ที่ 3 บ้านจัดสรร ตำบลสามเงาเป็นวัดที่กรมชลประทานเป็นผู้สร้าง ห่างจากเขื่อนภูมิพลประมาณ 5 กิโลเมตร สาเหตุที่สร้างเพราะได้มีการสร้างเขื่อนภูมิพล เมื่อเริ่มกักเก็บน้ำ น้ำได้ท่วมพื้นที่ที่อยู่อาศัย วัดและโรงเรียน จึงอพยพประชาชนตำบลบ้านนาที่ถูกน้ำท่วมมาอยู่ในพื้นที่ที่ทางกรมชลประทานจัด สรรให้ซึงวัดชลประทานฯ ได้ก่อสร้างทอแทนวัดจำนวน 8 วัด ที่ถูกน้ำท่วม เมื่อ พ.ศ.2502 ได้แก่ วัดบ้านห้วย วัดศรีแท่น วัดดอนแก้ว วัดหลวง วัดท่าเดื่อ วัดท่าโป่ง วัดอุมวาบ และวัดพระธาตุลอย โดยได้นำพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมนาสัมพุทธเจ้าองค์พระธาตุลอย อันศักดิ์สิทธิ์ ยอดฉัตรเจดีย์ พระพุทธรูปทองคำศักดิ์สิทธิ์ คือ หลวงพ่อทันใจจำนวน 3 องค์ และ ศาสนวัตถุต่างๆ เช่น พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาดและปางต่างๆ หีบลวดลายทองที่บรรจุพระธรรม ตู้ไม้ สิ่งของเครื่องใช้ของวัดทั้ง 8 วัดมารวมกัน ณ วัดชลประทานรังสรรค์


วัดโพธิคุณ หรือ วัดห้วยเตย

ตั้งอยู่ตำบลแม่ปะ อ.แม่สอด เป็นวัดป่าสายปฏิบัติที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ภายในวัดออกแบบและจัดวางผัง สภาพภูมิทัศน์ตลอดจนสิ่งก่อสร้างที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างตกแต่งตลอดจนการปั้นพระพุทธรูป โดยคุณสมประสงค์ชาวนาไร่ ศิลปบัณฑิตจากวิทยาลัยครูอุบลราชธานีและมหาบัณฑิตทางด้านโบราณคดีมหาวิทยลัย ศิลปากร ท่านได้อุทิศชีวิตและจิตใจในการก่อสร้างนานกว่า 17 ปี เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น สิ่งก่อสร้างและจุดที่น่าสนใจศึกษาภายในวัดประกอบด้วยโดยเป็นผลงานการออกแบบ และก่อสร้างตกแต่งตลอดจนการปั้นพระพุทธรูป โดยคุณสมประสงค์ชาวนาไร่ ศิลปบัณฑิตจากวิทยาลัยครูอุบลราชธานีและมหาบัณฑิตทางด้านโบราณคดีมหาวิทยลัย ศิลปากร ท่านได้อุทิศชีวิตและจิตใจในการก่อสร้างนานกว่า 17 ปี เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น สิ่งก่อสร้างและจุดที่น่าสนใจศึกษาภายในวัดประกอบด้วย 


วัดพระพุทธบาทดอยโล้น  

ตั้งอยู่ในตำบลท้องฟ้า หมู่ 3 เป็นวัดป่าสายปฏิบัติ ตั้งอยู่บนเนินเขาท่ามกลางป่าไม้ร่มรื่น ภายในบริเวณวัดมีสิ่งที่น่าสนใจคือ สมเด็จมหาสากยะมุณีศรีสรรเพชร เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่มีพุทธลักษณะงดงามหน้าตักกว้าง 20 เมตร สูง 38 เมตร รอยพระพุทธบาทตั้งอยู่บนยอดเขาสูงมีมณฑปสร้างครอบไว้ในบริเวณเดียวกันยังมี บ่อน้ำธรรมชาติที่ชาวบ้านถือว่าเป็นบ่อน้ำทิพย์ เมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงหลังประเพณีสงกรานต์ชาวบ้านจะจัดประเพณีขึ้นเขาไหว้รอยพระพุทธบาท
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1175 (บ้านตาก-แม่ระมาด) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 8 เลี้ยวขวาเข้าเหมู่บ้านท้องฟ้าอีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร 


สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ  

ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์พัฒนา และสงเคราะห์ชาวเขา บนเทือกเขาถนนธงชัย อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 เมตร เป็นสถานที่ทดลองวิจัยเมล็ดพันธุ์กาแฟ ชา ผลไม้ ผักต่าง ๆ และดอกไม้เมืองหนาว ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมดอกบัวตองบนเทือกเขา บริเวณที่ตั้งสถานีฯ จะออกดอกบานสะพรั่ง 


วัดเขาถ้ำ
ตั้งอยู่ที่บ้านแพะ ถนนพหลโยธิน ตำบลไม้งาม แยกขวาจากทางหลวงหมายเลข 1 ตรงกิโลเมตรที่ 423 เข้าไปตามถนนประมาณ 900 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2437 วัดเขาถ้ำนี้มีหินที่เป็นธรรมชาติวางเรียงรายเป็นชั้นสลับซับซ้อนกัน ทางเข้าถ้ำเป็นเขาสูงประมาณ 70 เมตร ภายในวัดเขาถ้ำมีรอยพระพุทธบาทจำลอง พระสังกัจจายน์ เจ้าแม่กวนอิม และหลวงพ่อทันใจประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยปูนเสร็จภายในหนึ่งวัน บนยอดเขามีเจดีย์ตั้งอยู่ และสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองตากได้ และทุกๆ ปี หลังวันสงกรานต์จะมีการจัดงานประเพณี ขึ้นวัดเขาถ้ำ โดยมีการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของไทย และสรงน้ำพระพุทธบาทจำลอง

เนินพิศวง   

อยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 68 สายตาก - แม่สอด มีลักษณะเป็นทางขึ้นเนินที่แปลก คือเมื่อนำรถไปจอดไว้ตรงทางขึ้นเนินโดยไม่ได้ติดเครื่องรถจะไหลขึ้นเนินไป เอง มีนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงสาเหตุนี้พบว่า เกิดจากเป็นภาพลวงตา เนื่องจากได้มีการวัดระดับความสูงของเนินลูกนี้แล้วปรากฏว่า ช่วงที่มองเห็นเป็นที่สูงนั้น มีระดับความสูงต่ำกว่าช่วงที่เห็นเป็นทางลงเนิน ดังนั้นรถที่เรามองเห็นไหลขึ้นนั้นที่จริงไหลลงสู่ที่ต่ำกว่า แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าเหตุใดจึงมองเห็นเป็นภาพลวงตาเช่นนั้นได้ 


ประติมากรรมกระทงสาย

ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภาคเหนือเขต 4 เป็นสวนสาธารณะที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ งานประเพณีลอยกระทงสาย ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวเมืองตากมีความภาคภูมิใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะที่หาชม ได้แห่งเดียวในประเทศไทย


แม่น้ำเมย (พม่าเรียกว่า แม่น้ำต่องยิน)  

เป็นเส้นกั้นเขตแดนประเทศไทยกับสหภาพพม่า มีความยาวประมาณ 327 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลขึ้นมิได้ไหลลงเช่นแม่น้ำทั่วๆ ไป มีต้นน้ำอยู่ที่บ้านมอเกอ ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ แล้วไหลผ่านอำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง ไปถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้วมาบรรจบกับแม่น้ำสาละวินแล้วไหลลงอ่าวมะตะบันใน เขตพม่า

การเดินทาง
จากอำเภอแม่สอดใช้ทางหลวงหมายเลข 105 ไปประมาณ 10 กิโลเมตร สุดเขตแดนไทยถึงแม่น้ำเมย 


ศูนย์พัฒนา และสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดตาก
ี ตั้งอยู่ที่ตำบลพะวอ บนดอยมูเซอ อยู่ในความดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าต่างๆ ศูนย์ฯ นี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 800 ฟุต เริ่มตั้งแต่กิโลเมตรที่ 25 - 26 มีเนื้อที่ทั้งหมด 26,500 ไร่ ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในบริเวณดอยมูเซอ ได้แก่ เผ่ามูเซอดำ ม้ง หรือแม้ว และลีซอ ปัจจุบันชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอพยพมาจากมณฑลทางตอนใต้ของ ประเทศจีน และเมืองปันในเขตรัฐฉานของสหภาพพม่า รวมทั้งเขตเชียงตุงด้วย 

อำเภอแม่ระมาด 

เป็นอำเภอชายแดนที่ติดต่อกับสหภาพพม่าอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดตาก อยู่ห่างจากตัวจังหวัด 120 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา สันนิษฐานว่าเดิมอำเภอแม่ระมาดเป็นชุมชนของชาวกะเหรี่ยง แต่ต่อมามีชาวไทยล้านนาอพยพมาอยู่เป็นจำนวนมากจนได้ยกฐานะเป็นอำเภอแม่ระมาด เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2494
การเดินทางจากตัวจังหวัดตากใช้เส้นทางตาก-แม่สอด-แม่ระมาด หรือใช้เส้นทางตาก-บ้านตาก-แม่ระมาดก็ได้ 


ตลาดสินค้าพื้นเมืองชาวเขาดอยมูเซอ และพิพิธภัณฑ์มูเซอดำ

ตั้งอยู่บนดอยมูเซอ ริมเส้นทางสายตาก - แม่สอด ทางหลวงหมายเลข 105 บริเวณกิโลเมตรที่ 28 ตลาดแห่งนี้ท่านจะได้พบเห็นภาพวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาที่นำผลผลิตจากไร่สวน มาจำหน่าย ภายในบริเวณตลาดยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์มูเซอดำ ซึ่งได้รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอดำ และชาวเขาเผ่าต่างๆ ไว้ทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากมีความประสงค์จะชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวเขา กรุณาติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา กรุณาติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก โทรศัพท์ 0 5551 3614 และบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 เป็นตลาดมูเซอเก่า โดยทั้งสองตลาดนี้เป็นสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชาวเขา ได้แก่ เสื้อผ้า เครื่องเงิน และพืชผลต่าง ๆ ทางการเกษตร เปิดจำหน่ายทุกวัน 


วัดดอยข่อยเขาแก้ว และวัดกลางสวนดอกไม 

้  หรือวัดพระเจ้าตาก หรือวัดเสี่ยงทายบารมีพระเจ้าตาก ตั้งอยู่ริมถนนเลี่ยงเมือง ตำบลแม่ท้ ห่างจากลำน้ำปิงฝั่งตะวันตกประมาณ 250 เมตร ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ดำรงตำแหน่งพระยาตาก พระองค์ได้เสี่ยงทายที่วัดนี้ โดยกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้ามีบุญญาบารมีมากพอที่จะเป็นที่พึ่งของอาณาประชาราษฎร์ได้อย่าง เที่ยงแท้แน่นอน ขอให้ไม้เคาะระฆังที่จะขว้างไปยังถ้วยแก้ว แล้วแตกหักออกไป ขออย่าให้ส่วนอื่นของถ้วยแก้วแตกเสียหาย ฯลฯ" ปรากฏว่าเมื่อพระองค์ขว้างไม้เคาะระฆังออกไปก็เป็นอย่างที่พระองค์ได้เสี่ยง อธิษฐานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของบรรดาพุทธบบริษัทที่มาร่วมบำเพ็ญกุศลที่ วัดดอยข่อยเขาแก้วจนเล่าลือกันว่า "พระยาตากเป็นผู้มีบุญญาธิการและบารมีที่มหัศจรรย์ยิ่ง" ภายหลังจากการเสี่ยงทายแล้ว พระองค์ได้ให้ช่างนำลูกแก้วไปติดไว้ที่ยอดเจดีย์วัดดอยข่อยเขาแก้วลูกหนึ่ง อีกลูกหนึ่งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ได้ขออนุญาตนำไปติดไว้ที่ยอดเจดีย์วัดกลางสวนดอกไม้ หลายปีเวลาผ่านไปลูกแก้วที่ติดยอดเจดีย์ทั่งสองแห่งจั้นได้หลุดหายไปเนื่อง จากยอดพระเจดีย์ได้หักพังลงมาและในพงศาวดาร กล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปยังเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2317 เสด็จไปหาสมภารวัดดอยข่อยเขาแก้วและตรัสถามถึงเรื่องลูกแก้วที่พระองค์ทราง เสี่ยงทายเมื่อครั้งยังเป็นพระยาตากอยู่วัดนี้  สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีโบาณสถานที่สำคัญ ประกอบด้วยโบสถ์มีใบเสมาคู่ที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์เจดีย์ และพระพุทธบาทจำลองอยู่ในโบสถ์ ด้านหน้ามีเจดีย์ 2 องค์ บรรจุอังคารบิดา มารดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช